THE CODE COLOR สีพ่นเหล็กเกรดระดับพรีเมี่ยมที่ได้มาตรฐานสากล สามารถใช้งานได้ทั้งงานตกแต่งภายนอกและภายใน สีสวยสด ไม่หลุดลอกล่อน เกาะติดแน่นทนได้กับทุกสภาพอากาศ พร้อมปกป้องพื้นผิวของเหล็กให้มีความแข็งแรง คงทน กันสนิมได้ดีเยี่ยม สามารถใช้พ่นสีเหล็กและสีพ่นโลหะได้ทุกชนิด ทางเราดีไซน์และผลิตขึ้นมาให้เลือกหลายเฉดสี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสียอดฮิตที่ได้รับความนิยมสูง หรือหากใครที่มีสเปกสีที่ต้องการ ก็สามารถสั่งผลิต Customize สีที่ใช้พ่นเหล็กตามตัวอย่างได้ เก็บชิ้นงานได้เนี้ยบไม่ต้องกลัวผิดเฉดสี รองรับกับทุกเทรนด์ดีไซน์ตกแต่ง ต้องยกให้ THE CODE COLOR
คุณสมบัติของสีพ่นเหล็ก
สีพ่นเหล็กเป็นสีที่มีเนื้อสีใส และมีความโปร่งแสง ทำให้เมื่อพ่นสีเหล็กจะยังคงความสวยงามของเหล็กไว้ได้อย่างเต็มที่ โดยสีที่ใช้พ่นเหล็กมีคุณสมบัติในการยึดเกาะพื้นผิวโลหะได้ดีเยี่ยมทุกชนิด ไม่ว่าฉีดสีพ่นโลหะชนิดใดก็สามารถเคลือบผิวชิ้นงานได้แน่นติดทนนาน ไม่ลอกล่อน ทนต่อสภาพอากาศและความชื้น เคลือบผิวชิ้นงานให้ปลอดกันสนิมได้ดี อีกทั้งสีพ่นเหล็กยังมีทั้งแบบโปร่งใส กึ่งใสกึ่งทึบ และแบบทึบให้เลือกได้ตามสเปกที่ต้องการ
วิธีการพ่นสีเหล็ก
1. เตรียมกระจกสำหรับพ่นสีกระจกให้พร้อม
การพ่นสีเหล็กต้องเริ่มจากการเตรียมชิ้นงานให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อม ประกอบ และขัดเก็บรายละเอียดชิ้นงานให้เนียนพร้อมต่อกันดีเสียก่อน จากนั้นให้ทำความสะอาดชิ้นงานให้หมด ทั้งรอยคราบมัน รอยเชื่อม และรอยเปื้อนฝุ่นจากการประกอบชิ้นงาน เนื่องจากสีพ่นเหล็กจะมีลักษณะเป็นสีที่มีความโปร่งแสง ไม่สามารถปกปิดรอยจากการเก็บงานขึ้นรูปได้ จึงจำเป็นต้องประกอบเชื่อมเก็บรายละเอียดทุกอย่างให้เสร็จก่อน แล้วจึงค่อยเริ่มลงมือพ่นสีเหล็ก
2. ผสมสีที่ใช้พ่นเหล็กในอัตราที่เหมาะสม
สีพ่นเหล็กหรือสีพ่นโลหะทุกชนิดไม่ว่าราคาถูกหรือแพง ก่อนทำการพ่นสีเหล็กบนชิ้นงาน ควรต้องมีการผสมสีกับ Hardener ในอัตราส่วนที่เหมาะสมเสียก่อน เพื่อลดความเจือจางหนืดข้นของสีที่ใช้พ่นเหล็ก ทั้งยังช่วยให้สีพ่นเหล็กเคลือบผิวชิ้นงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยอัตราส่วนที่เหมาะสม ได้แก่ ผสมสีกับ Hardener ในอัตราส่วน 4:1 แล้วจึงผสมทินเนอร์ 2K ลงไปประมาณ 10 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์
3. พ่นสีเหล็กที่ผสมแล้วให้ทั่วชิ้นงาน
ทำการพ่นสีโลหะด้วยกาพ่นสีให้ทั่วชิ้นงาน ประมาณ 1 ถึง 3 รอบ โดยไม่ควรพ่นเน้นส่วนไหนส่วนหนึ่งของชิ้นงานเป็นพิเศษ และควรพ่นสีเหล็กให้เร็วกว่าปกติ เพื่อที่ชิ้นงานจะได้มีความเรียบเนียนสวยงามทั่วชิ้นงานเสมอกัน ที่สำคัญ การพ่นสีที่ใช้ในพ่นเหล็กในรอบสุดท้าย ให้ผสมทินเนอร์ 2K ลงไปเยอะขึ้น เพื่อปรับสภาพพื้นผิวของชิ้นงานให้กลมกลืนสวยงามยิ่งขึ้น
4. ผสมแลคเกอร์และพ่นให้ทั่ว
เมื่อทำการเคลือบสีพ่นเหล็กทั่วชิ้นงานดีแล้ว ให้ผสมแลคเกอร์ในอัตราส่วน 2:1 และทินเนอร์ ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นทำการพ่นแลคเกอร์ให้ทั่วชิ้นงานเป็นการปิดท้าย เพื่อเป็นการเคลือบเสริมความมันเงาให้ชิ้นงาน ทำให้สีที่ใช้พ่นเหล็กมีมิติ และเสริมความคงทนต่อการใช้งานมากขึ้น
บริการผสมสี PANTONE จาก THE CODE COLOR
แรงบันดาลใจด้านสีสันเพื่อทุกความแตกต่าง
THE CODE COLOR ยินดีให้บริการผสมสี PANTONE ตามความต้องการเฉพาะของคุณ บริการออกแบบสีเทียบเฉดสี ทำสีตามตัวอย่างได้ทุกเฉดสีตามมาตรฐาน PANTONE เฉดสีสดใส คมชัด สมบูรณ์แบบ มีสีสันให้เลือกมากมาย เลือกได้ทั้งสีเงา สีด้าน และสีกึ่งเงา มีทั้งรูปแบบกระป๋องและอัดสเปรย์ พลังยึดเกาะดีเยี่ยม ใช้ได้กับทุกวัสดุ ทุกพื้นผิว (ยกเว้นวัสดุโฟม) รองรับทุกกลุ่มอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ผสานความเชี่ยวชาญจากทีมงานมืออาชีพมากประสบการณ์เรื่องสีกว่า 30 ปี เราจึงให้บริการด้านสีที่ครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ออกแบบ ผสมสี PANTONE ผลิตสีตามตัวอย่าง เพื่อตอบโจทย์ให้กับทุกความต้องการ พร้อมให้คำแนะนำการใช้สีที่เหมาะสมกับชิ้นงานและอัตลักษณ์ของคุณ สามารถผลิตได้ทุกเฉดสีใน PANTONE ได้ค่าสีที่ตรงกับความเป็นจริง ส่งมอบงานรวดเร็วภายใน 24 – 48 ชั่วโมง บริการผลิตเริ่มต้นที่ 0.5 ลิตรเท่านั้น
ความสำคัญของสี PANTONE กับ Brand CI (Corporate Identity)
THE CODE COLOR ผู้เชี่ยวชาญด้านสีและเคมีภัณฑ์ที่เข้าใจทุกความต้องการด้านสี โดยเฉพาะนักออกแบบและผู้เชี่ยวชาญด้าน Brand CI มืออาชีพที่ต้องออกแบบและผลิตสีให้ตรงกับความต้องการที่แตกต่างของลูกค้ามากที่สุด ด้วยประสบการณ์ในอุตสาหกรรมที่ยาวนานกว่า 30 ปี ทำให้ THE CODE COLOR สามารถรังสรรค์สีสันทุกเฉดสีได้ตามความต้องการของคุณเพื่อการพิมพ์สีที่มีความเฉพาะตัวและชิ้นงานที่ต้องการความละเอียดเป็นพิเศษ พร้อมสื่อสารตัวตนของแบรนด์และบุคลิกของแบรนด์เพื่อสร้างการจดจำของกลุ่มเป้าหมายผ่านสีได้อย่างตรงใจ ทั้งงานออกแบบและสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ครอบคลุมทุกความต้องการสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นแบรนด์ผ่านสีสันได้แบบจัดเต็ม พร้อมสร้าง Brand Awareness `หรือการจดจำของกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลความเชื่อถือของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ และทำให้ลูกค้าสามารถเชื่อมโยงกับเรื่องราวของแบรนด์ได้อย่างแท้จริง