THE CODE COLOR สีพ่นมอเตอร์ไซค์คุณภาพดีมาตรฐานระดับโลก เนื้อหนาแน่นสีสดใส ไม่เหนียวเป็นก้อน สีสวยมีความมันเงางาม เกาะติดแน่นทนนาน ทนทานได้กับทุกสภาพอากาศและสารเคมีต่าง ๆ ได้ดีเยี่ยม สีพ่นมอเตอร์ไซค์ของ THE CODE COLOR ใช้ได้กับทุกพื้นผิวของรถมอเตอร์ไซค์ มีจำหน่ายทั้งสีพ่นมอเตอร์ไซค์แบบสเปรย์กระป๋อง และสีผสมอัดกระป๋อง สามารถเลือกใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเฉดสีพ่นจักรยานยนต์ผสมตามตัวอย่างให้เลือกมากมาย เท่ได้ไปให้สุดตอบโจทย์กับทุกสไตล์ที่เป็นคุณ
คุณสมบัติของสีพ่นมอเตอร์ไซค์
จุดเด่นของสีพ่นมอเตอร์ไซค์ คือมีคุณสมบัติในการทนทานต่อสภาพอากาศได้ดีเยี่ยม ป้องกันการเกิดสนิม ทนได้ทั้งสภาพอากาศเปียกชื้นฝนตก และแดดออกในแต่ละวันได้อย่างไร้กังวล แถมยังมีความทนทานต่อสารเคมีทั้งน้ำมันเบรกหรือทินเนอร์ที่อยู่กับรถ ทนรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี ทำให้สามารถขับขี่จักรยานยนต์ได้อย่างสบายใจ ในส่วนของเนื้อสีจะมีความเงางามสูง เนื้อสีหนาแน่น สดใส ไม่เหนียวจับตัวเป็นก้อน และที่สำคัญสีพ่นจักรยานยนต์ต้องใช้ได้กับทุกพื้นผิวของมอเตอร์ไซค์
วิธีการพ่นสีพ่นมอเตอร์ไซค์
1. แยกชิ้นส่วนและเช็ดทำความสะอาดก่อนเริ่มทำสีพ่นจักรยานยนต์
ก่อนทำสีพ่นมอเตอร์ไซค์ให้แยกชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ออกก่อน ต่อด้วยการล้างและเช็ดทำความสะอาดให้เรียบร้อย อย่าให้เหลือคราบฝุ่นสิ่งสกปรก หรือคราบไขมันหลงเหลืออยู่เลย และเช็ดด้วยผ้าสะอาดให้แห้งสนิท เพื่อเป็นการป้องกันสนิม จากนั้นให้เริ่มทำการลอกสีเก่าออกเสียก่อน และใช้กระดาษทรายเบอร์ละเอียดขัดให้เนียน
2. พ่นสีรองพื้นก่อนเริ่มทำสีพ่นมอเตอร์ไซค์
เมื่อเก็บงานก่อนทำสีพ่นจักรยานยนต์เรียบร้อยแล้ว ให้เริ่มจากการพ่นสีรองพื้นให้ทั่วชิ้นงาน เพื่อปรับสภาพพื้นผิวเมื่อพ่นสีพ่นมอเตอร์ไซค์สีจะได้มีความสดและยึดเกาะติดแน่นง่ายขึ้น โดยวิธีการคือพ่นสีรองพื้นให้ทั่วทั้งหมดแต่ต้องไม่หนามากจนเกินไป และทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที รวมถึงการเลือกสีพ่นรองพื้นก็ควรใช้โทนสีที่ใกล้เคียงกับสีพ่นจักรยานยนต์จริง เพราะถ้าใช้โทนสีที่แตกต่างกันมาก จะทำให้สีจริงเพี้ยนเมื่อพ่นแล้ว
3. ขัดพื้นผิวด้วยกระดาษทราย
รอจนสีรองพื้นแห้งก่อนจากนั้นให้ใช้กระดาษทรายแห้งเบอร์ละเอียดประมาณ 1200 ขัดให้ทั่วทั้งชิ้นงานที่ต้องการทำสีพ่นมอเตอร์ไซค์ เพื่อเป็นการเก็บงานพื้นผิวให้เรียบเนียน เคล็ดลับคือให้ขัดเบา ๆ เพราะมิเช่นนั้นสีรองพื้นที่เคลือบไว้จะถูกขัดออกได้ง่าย
4. ลงมือพ่นสีพ่นจักรยานยนต์จริง
เริ่มพ่นสีพ่นมอเตอร์ไซค์จริงให้ทั่วทั้งชิ้นงานโดยเว้นระยะห่างประมาณ 1 ฟุต และพ่นประมาณ 1 ถึง 3 รอบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สีที่สดชัดดีที่สุด และไม่ควรพ่นจี้หรือเน้นตรงไหนส่วนไหนของชิ้นงานเป็นพิเศษ เพื่อที่พื้นผิวของจักรยานยนต์จะได้มีความเรียบเนียนสวยงามทั่วชิ้นงานเสมอกัน เมื่อทำการเคลือบสีพ่นจักรยานยนต์ทั่วชิ้นงานดีแล้ว ให้พ่นแลคเกอร์ปิดท้ายประมาณ 2 รอบ โดยแต่ละรอบให้รอแลคเกอร์แห้งก่อนแล้วจึงค่อยพ่นซ้ำลงไปอีกรอบ ทิ้งให้แห้งและประกอบชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน
บริการผสมสี PANTONE จาก THE CODE COLOR
แรงบันดาลใจด้านสีสันเพื่อทุกความแตกต่าง
THE CODE COLOR ยินดีให้บริการผสมสี PANTONE ตามความต้องการเฉพาะของคุณ บริการออกแบบสีเทียบเฉดสี ทำสีตามตัวอย่างได้ทุกเฉดสีตามมาตรฐาน PANTONE เฉดสีสดใส คมชัด สมบูรณ์แบบ มีสีสันให้เลือกมากมาย เลือกได้ทั้งสีเงา สีด้าน และสีกึ่งเงา มีทั้งรูปแบบกระป๋องและอัดสเปรย์ พลังยึดเกาะดีเยี่ยม ใช้ได้กับทุกวัสดุ ทุกพื้นผิว (ยกเว้นวัสดุโฟม) รองรับทุกกลุ่มอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ผสานความเชี่ยวชาญจากทีมงานมืออาชีพมากประสบการณ์เรื่องสีกว่า 30 ปี เราจึงให้บริการด้านสีที่ครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ออกแบบ ผสมสี PANTONE ผลิตสีตามตัวอย่าง เพื่อตอบโจทย์ให้กับทุกความต้องการ พร้อมให้คำแนะนำการใช้สีที่เหมาะสมกับชิ้นงานและอัตลักษณ์ของคุณ สามารถผลิตได้ทุกเฉดสีใน PANTONE ได้ค่าสีที่ตรงกับความเป็นจริง ส่งมอบงานรวดเร็วภายใน 24 – 48 ชั่วโมง บริการผลิตเริ่มต้นที่ 0.5 ลิตรเท่านั้น
ความสำคัญของสี PANTONE กับ Brand CI (Corporate Identity)
THE CODE COLOR ผู้เชี่ยวชาญด้านสีและเคมีภัณฑ์ที่เข้าใจทุกความต้องการด้านสี โดยเฉพาะนักออกแบบและผู้เชี่ยวชาญด้าน Brand CI มืออาชีพที่ต้องออกแบบและผลิตสีให้ตรงกับความต้องการที่แตกต่างของลูกค้ามากที่สุด ด้วยประสบการณ์ในอุตสาหกรรมที่ยาวนานกว่า 30 ปี ทำให้ THE CODE COLOR สามารถรังสรรค์สีสันทุกเฉดสีได้ตามความต้องการของคุณเพื่อการพิมพ์สีที่มีความเฉพาะตัวและชิ้นงานที่ต้องการความละเอียดเป็นพิเศษ พร้อมสื่อสารตัวตนของแบรนด์และบุคลิกของแบรนด์เพื่อสร้างการจดจำของกลุ่มเป้าหมายผ่านสีได้อย่างตรงใจ ทั้งงานออกแบบและสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ครอบคลุมทุกความต้องการสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นแบรนด์ผ่านสีสันได้แบบจัดเต็ม พร้อมสร้าง Brand Awareness `หรือการจดจำของกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลความเชื่อถือของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ และทำให้ลูกค้าสามารถเชื่อมโยงกับเรื่องราวของแบรนด์ได้อย่างแท้จริง